ถ้าพูดถึงการทำสมาธิ (Meditation) เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เราคงคิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลัทธิหรือศาสนาเท่านั้น ใครจะคาดคิดว่าปัจจุบันการนั่งสมาธิจะเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หลากหลายผลการวิจัยทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าการทำสมาธิส่งผลในเชิงบวกทั้งกับร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองให้ดียิ่งขึ้น
กลุ่มนักประสาทวิทยา (Neuroscientist) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองโดยนำกลุ่มตัวอย่างจำนวน 16 คน มาเข้าคอร์สการทำสมาธิโดยสอดแทรกการทำสมาธิอยู่ในหลากหลายกิจกรรมในแต่ละวัน ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยศาสตราจารย์ซาร่า ลาซาร์ (Sara Lazar, Ph.D.) นักประสาทวิทยาด้านโยคะและการทำสมาธิ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รายงานผลการทดลองภายหลังจากการสแกนสมองผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยเครื่อง MRI พบว่าสมองเนื้อเทา (Grey matter) ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาทจะหนาขึ้น โดยบริเวณดังกล่าวมีส่วนช่วยในการเรียนรู้และจดจำ รวมถึงพัฒนาการด้านอารมณ์และการรับรู้อีกด้วย
นอกจากนี้ การทำสมาธิติดต่อกันในระยะยาว (Long-term meditation) ยังส่งผลให้สมองเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากงานวิจัยของ ริชาร์ด เดวิดสัน (Richard Davidson) นักประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำการสแกนสมองพระธิเบตที่ฝึกสมาธิมาเป็นเวลา 20-30 ปี พบว่าสมองเนื้อเทามีการขยายตัวมากและคลื่นสมองเคลื่อนตัวช้าและสม่ำเสมอมากขึ้น เรียกว่าคลื่นแกมม่า (Gamma waves) โดยจะพบเฉพาะในคนที่จิตเป็นสมาธิอย่างลุ่มลึกเท่านั้น ผลการทดลองเหล่านี้ทำให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของสมอง (Neuroplasticity) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงโครงสร้างและการทำงานได้ ถือเป็นการทำลายความเชื่อเดิมๆที่ว่าสมองเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่พัฒนาการของสมองที่ดีขึ้นเท่านั้น ประโยชน์ของการทำสมาธิแม้เพียงวันละ 10 นาที (แต่ทำอย่างต่อเนื่อง) ก็สามารถพัฒนาศักยภาพในการใช้ชีวิตและการทำงานได้เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น
1. สมาธิทำให้คุณโฟกัสกับสิ่งที่ทำและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใต้ภาวะกดดันได้มากขึ้น 2. เพิ่มความสามารถในกระบวนการคิดและการตัดสินใจ 3. ช่วยให้จิตใจแข็งแกร่ง เป็นคนยืดหยุ่น และเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ 4. เสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ จดจำ และการรู้จักตนเอง (Self-awareness) 5. ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน (Multitasking) พร้อมทั้งลดความเครียดจากการทำงานแบบ Multitasking 6. สมาธิทำให้เรามีความพร้อมรับความเครียดที่เกิดขึ้น 7. เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์
นอกจากผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์มากมายของการทำสมาธิแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก อย่าง Google และ Hedge fund (บริษัทกองทุนในย่าน Wall Street) ก็ได้นำหลักการทำสมาธิเข้ามาใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพในการทำงานของพนักงานด้วยเช่นเดียวกัน
บริษัท เซอร์ทิส จำกัด (Sertis Co., Ltd.) ผู้เชี่ยวชาญการให้คำปรึกษาด้าน Big Data และเทคโนโลยี AI ของไทย ก็นำหลักการทำสมาธิมาใช้เช่นเดียวกัน โดยพนักงาน Sertis จะมารวมตัวกันเพื่อนั่งสมาธิก่อนออกไปทานอาหารกลางวัน ทุกวัน (จันทร์ – ศุกร์) ครั้งละ 10 นาที
“การทำสมาธิทุกวันสามารถพัฒนาศักยภาพของคนได้ ผมไม่ได้มองการทำสมาธิเป็นเรื่องทางศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่มองว่าเป็นวิทยาศาสตร์ หลากหลายการวิจัยทั่วโลกได้บอกแล้วว่าการทำสมาธิ เพียงแค่วันละ 10 นาที ก็สามารถพัฒนาสมองและศักยภาพการทำงานได้ ที่บริษัท Sertis ทุกคนต้องทำงานด้วยการคิดวิเคราะห์ และมีความคิดสร้างสรรค์ การทำสมาธิจึงยิ่งตอบโจทย์ เพราะเมื่อคนมีคุณภาพ งานก็จะออกมามีคุณภาพด้วย” นายธัชกรณ์ วชิรมน CEO Sertis กล่าว
สุดท้ายนี้ เราขอปิดท้ายด้วยภาพการนั่งสมาธิของชาว Sertis ในบรรยากาศผ่อนคลายบนสนามหญ้าเทียมเล็กๆในออฟฟิศ เพื่อเติมเต็มสมาธิและพลังในการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน
Comments