CEO ของ Sertis ร่วมแบ่งปันมุมมองด้าน AI และ Data Strategy ในงาน IRIS SKILLFEST 2025
- Sertis

- 28 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา งาน IRIS SKILLFEST 2025 ได้รวบรวมผู้นำจากองค์กรเทคโนโลยีและ AI ชั้นนำของประเทศไทย เพื่อร่วมพูดคุยภายใต้หัวข้อ “Modern Capability #5: Smart Digital, Data, AI Strategy” มุ่งเน้นมุมองการพัฒนา Digital Strategy และ AI Strategy ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในองค์กร
ในเวทีนี้ คุณที ธัชกรณ์ วชิรมน CEO จาก Sertis ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการสร้างความพร้อมด้านข้อมูลและการวางกลยุทธ์ AI สำหรับองค์กรยุคใหม่ ร่วมกับผู้นำในแวดวงเทคโนโลยี ได้แก่
คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร (MFEC), ดร.วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ (Advance Web Service - AWS), คุณชลเดช เขมะรัตนา (Thai Fintech Association / Webull) และ คุณวรวัฒน์ ภาอาภรณ์ (Processing Center Company – PCC)
ดำเนินรายการโดย คุณวีร์ สิรสุนทร CEO จาก Primo ที่เปิดประเด็นถึงความท้าทาย โอกาส และแนวทางในการยกระดับความพร้อมด้วยข้อมูลและคน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไทยสู่ยุค AI Transformation อย่างยั่งยืน
1. Digital Foundation & Data Power: ข้อมูลที่ดีคือรากฐานที่แท้จริง
ก่อนจะพูดถึงการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องย้อนกลับมามอง “รากฐานของข้อมูล” ว่าพร้อมหรือยัง เพราะไม่ว่าระบบ AI จะซับซ้อนเพียงใด หากข้อมูลยังไม่ถูกจัดการอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง
หลายองค์กรยังมองข้ามความสำคัญของ Data Governance, System Integration และ Cybersecurity
ข้อมูลจำนวนมากในองค์กรยังคง “กระจัดกระจายและขาดเจ้าของข้อมูลที่ชัดเจน” ทำให้ยากต่อการนำไปต่อยอดทางธุรกิจ
ในยุคปัจจุบัน “Real-Time Online Data” ถูกมองว่าเป็น New Oil ที่ขับเคลื่อนกลยุทธ์ดิจิทัลและการตัดสินใจขององค์กรอย่างแท้จริง
ซึ่งคุณธัชกรณ์ CEO จาก Sertis ได้ร่วมแชร์ว่า อุปสรรคสำคัญที่หลายองค์กรกำลังเผชิญคือ การลงทุนในแพลตฟอร์ม AI โดยที่ข้อมูลยังไม่พร้อม หลายแห่งมีข้อมูลจำนวนมากแต่ขาดการจัดระเบียบและเชื่อมโยงที่ดี ทำให้ไม่สามารถต่อยอดไปสู่ Use Case ที่สร้างคุณค่าได้จริง พร้อมกล่าวว่า

คุณวีร์ CEO จาก PRIMO ผู้ดำเนินรายการ ได้ชี้ต่อถึงช่องว่างด้านบุคลากร (Talent Gap) โดยเฉพาะสาย Data Infrastructure และ Data Engineer ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง “Data Pipeline” ให้ AI ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยคุณธัชกรณ์เสริมว่า บทบาทของ Data Engineer, AI Engineer และ Machine Learning Engineer จะยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นผู้ทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งานสำหรับ AI อย่างแท้จริง
2. AI Impact & Value Creation: พิสูจน์คุณค่าด้วยผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่การลงทุน
การลงทุนใน AI จะสร้างผลลัพธ์ได้จริงก็ต่อเมื่อองค์กรเข้าใจ “จุดที่เทคโนโลยีสร้างคุณค่า (Value Point)” ไม่ใช่แค่เพราะอยากลองของใหม่
Use case ที่เห็นผลเร็วที่สุดมักอยู่ในส่วนของงานสนับสนุน (IT Support, Back Office) ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ทันที
AI ที่ฉลาดขึ้นต้องผ่าน “การเทรนอย่างต่อเนื่อง” เพื่อให้เข้าใจบริบทขององค์กร
ROI ไม่จำเป็นจ้องมองแค่ตัวเลขใหญ่ แต่อาจอยู่ในเวลาที่ประหยัดหรือภาระงานที่ลดลง
หนึ่งตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาคือ การประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจหลักทรัพย์ ที่นำ AI มาช่วยตลอดวงจรชีวิตลูกค้า ตั้งแต่การทำ KYC / เปิดบัญชีออนไลน์, ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของข้อมูล, การทำ Customer Segmentation, ไปจนถึงการใช้ Chatbot ที่ถูกเทรนในโดเมนเฉพาะ เพื่อวิเคราะห์ตลาดหุ้นแบบเรียลไทม์โดยลดความเสี่ยงของการ “แต่งข้อมูล (Hallucination)”
คุณธัชกรณ์ จาก Sertis ก็ได้สะท้อนว่า หลายองค์กรตั้งเป้าที่จะเห็น ROI จาก AI อย่างชัดเจนภายใน 12 เดือน แต่ในความเป็นจริง สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวเลขที่เติบโตแบบก้าวกระโดดเสมอไป
“AI จะให้ ROI ได้จริงก็ต่อเมื่อถูกนำไปใช้ในจุดที่เหมาะสม ไม่ใช่เพราะอยากลองของใหม่ องค์กรใหญ่อาจเห็นผลได้เร็วจากการเพิ่มประสิทธิภาพเพียง 1–3% ก็มีมูลค่ามหาศาล ส่วนบริษัทขนาดเล็ก แค่ใช้ AI ช่วยงาน IT Support ลดภาระคนลงได้หลายหมื่นบาทก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
และทิ้งท้ายว่า ปัญหาของ AI ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่การ “ใช้ไม่ถูกจุด” หลายองค์กรเริ่มทำเพราะเทรนด์ แต่ยังไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจ

3. Talent & Capability: คนคือหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI
เทคโนโลยีอาจพร้อมแล้ว แต่ “คน” คือสิ่งที่ทำให้ AI กลายเป็นความจริงในองค์กร
หัวใจของความสำเร็จคือการพัฒนา AI Mindset และ Digital Skill ของบุคลากรทุกระดับ
พนักงานรุ่นใหม่สามารถปรับตัวได้เร็วกว่ากว่า ในขณะที่พนักงานที่มีประสบการณ์จำเป็นต้อง “เปิดใจและทดลองใช้” ให้มากขึ้น
องค์กรไม่จำเป็นต้องมีแต่คนที่มีประสบการณ์สูง แต่ต้องมี “คนที่เข้าใจวิธีใช้ AI”
การมอง AI เป็นเพียงเครื่องมือค้นหาไม่เพียงพอ ต้องมองว่าเป็น “พาร์ตเนอร์” หรือ “ผู้ช่วยที่มีความสามารถ”
ทักษะ Communication และ Prompting กลายเป็น Soft Skill ใหม่ ที่สำคัญที่สุดของในยุคนี้
การปรับ Mindset ของคนเป็นเรื่องยากที่สุดของ AI Transformation เพราะต้องอาศัยเวลา ความเข้าใจ และความตั้งใจจะ “เก่งขึ้นอีก 2–3 เท่า
นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนายังได้ให้แง่คิด “ 3 กับดักของการใช้ AI” ที่องค์กรควรหลีกเลี่ยง
Model Trap: ใช้โมเดลทั่วไปเพียงตัวเดียว แทนที่จะเลือกโมเดลเฉพาะทาง
Use Case Trap: ใช้ AI กับงานที่ไม่เพิ่ม productivity จริง เช่น ให้ AI ช่วยสรุปอีเมลที่ AI เขียนมาเองอีกที
Scalability Trap: พนักงานเรียนรู้ AI แต่ใช้เพื่อเรื่องส่วนตัว ไม่ได้นำมาปรับใช้ในงานจริง
การเปลี่ยนแปลงอนาคตด้วย AI ไม่ได้อยู่ที่ว่า “องค์กรมีเครื่องมืออะไร” แต่อยู่ที่ว่า “คนในองค์กรพร้อมแค่ไหน” ที่จะเรียนรู้และใช้มันให้เกิดผลลัพธ์จริง
4. Key Takeaways: สรุปบทเรียนและข้อคิดที่นำไปปฏิบัติได้จริง
สุดท้าย การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ต้องเริ่มจาก “ผู้นำที่เข้าใจและลงมือเอง” เพราะการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การมองเห็นว่าเทคโนโลยีนั้นช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายขององค์กรได้อย่างไร
ผู้นำต้องเรียนรู้และเข้าใจ AI ด้วยตนเอง เพื่อให้เข้าใจโอกาสและข้อจำกัดจริงๆ
AI ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นของทุกทีมในองค์กร
Real-Time Data คือรากฐานของการตัดสินใจขององค์กรยุคใหม่ เพราะเมื่อข้อมูลเชื่อมโยงกันอย่างครบถ้วนจะช่วยให้ AI ขับเคลื่อนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
ความเข้าใจของคน + คุณภาพของข้อมูล คือปัจจัยสำคัญที่สร้างความได้เปรียบในยุคที่ทุกองค์กรเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่ากัน
คุณธัชกรณ์ก็ได้ฝากข้อคิดส่งท้ายว่า

เวทีเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ AI และข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่ แต่ยังตอกย้ำว่า “หัวใจของการเปลี่ยนผ่าน” อยู่ที่ความร่วมมือกันระหว่างเทคโนโลยีที่พร้อม และคนที่เข้าใจวิธีใช้มันอย่างมีคุณค่า
งาน IRIS SKILLFEST 2025 นับเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและธุรกิจได้แลกเปลี่ยนมุมมอง เพื่อร่วมกันผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตแห่ง AI และ Data-Driven Transformation อย่างยั่งยืน
ติดต่อเราเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมว่า AI จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณได้อย่างไร: https://www.sertiscorp.com/contact-us


