top of page
รูปภาพนักเขียนNatkamon Narawong

ปลดล็อคความสำเร็จธุรกิจค้าปลีกไทยด้วย Large Language Model (LLM)



ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมค้าปลีกในไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากที่เราเคยซื้อของกันในตลาดหรือห้างสรรพสินค้าเท่านั้น ตอนนี้ทุกอย่างก็ต้องทำการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์ม e-commerce ต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เพราะการพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยีเท่านั้นแต่เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย 


เมื่อยุคดิจิทัลเข้ามาเต็มตัวแบบนี้แล้ว Large Language Model (LLM) ที่ขับเคลื่อนด้วยเจ้าเทคโนโลยีแห่งยุคอย่างเอไอก็ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับเหล่าธุรกิจค้าปลีกต่าง ๆ เพราะนอกจากจะเข้ามาช่วยให้การสื่อสารกับลูกค้ามีความง่ายขึ้น ยังช่วยลดความยุ่งยากในการทำงานและทำให้การตัดสินใจของธุรกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากขึ้นอีกด้วย


ว่าแต่เจ้า LLM นี้มันคืออะไร แล้วเราจะใช้มันในธุรกิจค้าปลีกอย่างไรได้บ้าง วันนี้เซอร์ทิสจะพาไปเจาะลึกกัน

Large Language Model (LLM) คืออะไร

LLM หรือชื่อเต็มว่า Large Language model เป็นโมเดลภาษาที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ มีความสามารถในการเข้าใจและสร้างภาษาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ โดยได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยข้อความหลากหลายแหล่งที่มา เช่น หนังสือ บทความ และเนื้อหาอื่น ๆ บนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อข้อความในหลายภาษาและบริบทที่แตกต่างกันไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ



เรานำ LLM มาใช้ในธุรกิจค้าปลีกอย่างไรได้บ้าง? 

1. สื่อสารและแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าอย่างมืออาชีพ

การสื่อสารกับลูกค้าให้ดีเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรกในการค้าขายเลยก็ว่าได้ ในยุคปัจจุบันที่ลูกค้าคุ้นชินกับการบริการแบบด่วนทันใจ อีกทั้งยังคาดหวังกับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความเฉพาะเจาะจงและตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างตรงจุดมากขึ้น การใช้มนุษย์ในการตอบสนองสิ่งเหล่านี้คงต้องใช้ทั้งแรงและเวลามหาศาลเลยทีเดียว แต่

ถ้าหากเรามี LLM อันชาญฉลาดมาช่วยแล้วล่ะก็ เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเหล่าธุรกิจค้าปลีกอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือนจริงอื่น ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ ซึ่งนอกจากเครื่องมือเหล่านี้จะตอบคำถามทั่วไปเกี่ยวกับสินค้าได้คล้ายคลึงกับมนุษย์แล้ว ยังสามารถเก็บข้อมูลประวัติการซื้อของลูกค้าแต่ละคนมาวิเคราะห์และเสนอสินค้าที่ตรงตามความต้องการได้อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่างประเทศไทยได้


2. เสริมสร้างกลยุทธ์การตลาดด้วยข้อมูลเชิงลึกอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการตอบคำถามและแนะนำสินค้ากับลูกค้าแล้ว LLM ยังช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดได้ ด้วยความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ รวมไปถึงความสามารถในการวิเคราะห์พฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อของลูกค้านั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งและนำข้อมูลมาใช้ในหลากหลายด้าน เช่น การแบ่งกลุ่มลูกค้าและสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด หรือใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น



3. สร้างคอนเทนต์เพื่อเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง

ขึ้นชื่อว่าเป็นโมเดลภาษา แน่นอนว่า LLM นั้นก็มีความสามาถในการช่วยสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ต้องใช้ภาษาเป็นส่วนประกอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ การเขียนคำโฆษณา การเขียนอีเมลติดต่อ หรือรวมไปถึงการวางแผนเนื้อหาสำหรับวิดีโอโฆษณา หรือ วางแผนคอนเทนต์อีกหลากหลายรูปแบบได้ นอกจากนี้หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญของ LLM คือความสามารถในการรองรับหลายภาษา ทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับตลาดที่มีลูกค้าจากหลากหลาย


ประเทศทั่วโลก โดย LLM สามารถทำความเข้าใจและสร้างข้อความในภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือในภาษาอื่น ๆ ที่เป็นตลาดใหญ่ของธุรกิจค้าปลีกนั้น ๆ ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้น LLM ยังสามารถปรับให้เข้ากับบริบทของแต่ละภาษา แยกแยะความแตกต่างของภาษาถิ่น การใช้สำนวนท้องถิ่น และวัฒนธรรมในประเทศนั้น ๆ ได้ ทำให้การสื่อสารกับลูกค้ามีความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4. บริหารคลังสินค้าให้มีความพร้อมอยู่เสมอ

เราสามารถนำ LLM มาช่วยธุรกิจค้าปลีกปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในให้ดียิ่งขึ้นได้ เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง หรือการคาดการณ์ได้ว่าสินค้าใดมีแนวโน้มที่จะเป็นที่ต้องการ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจหลีกเลี่ยงการขาดสินค้าและลดการจัดเก็บสินค้าที่เกินความจำเป็นได้ นอกจากจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้วยังช่วยลดต้นทุนได้อีกด้วย ซึ่งการบริหารสินค้าให้พร้อมขายอยู่เสมอจะช่วยสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน​ได้เป็นอย่างดี 



จะเห็นได้ว่า LLM มีศักยภาพที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ติดต่อสื่อสารกับลูกค้า พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด สร้างคอนเทนต์ หรือแม้กระทั้งจัดการคลังสินค้า การใช้เทคโนโลยี LLM จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันอย่างไรก็ตามเทคโนโลยีตัวนี้ก็ยังมีข้อจำกัดที่ต้องระวังในการนำมาใช้ นั่นก็คือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อการใช้เอไอขึ้นอยู่กับข้อมูลของพวกเขา ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลและจัดการมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ธุรกิจยังต้องติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี LLM อยู่เสมอเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและขับเคลื่อนการเติบโตพร้อมเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า​ได้


สำหรับธุรกิจค้าปลีกที่สนใจอยากจะนำเทคโนโลยี Large Language Model (LLM) ไปใช้กับธุรกิจของตัวเอง

ที่เซอร์ทิสเรามีโซลูชันสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่ครบวงจรพร้อมให้บริการอย่าง Sertis Insight Hub เราสามารถออกแบบและพัฒนาให้ตอบโจทย์ตามความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของเราที่พร้อมทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อทำความเข้าใจทั้งความต้องการและปัญหาที่เผชิญอยู่อย่างมืออาชีพ


เรียนรู้เกี่ยวกับโซลูชันและติดต่อเราได้ที่: https://www.sertiscorp.com

Komentarze


bottom of page